The World Freight Co., Ltd.

5 ขั้นตอนส่งออกสินค้าไปต่างประเทศที่ผู้ประกอบการไทยควรรู้

การนำเข้า-ส่งออก
5 ขั้นตอนส่งออกสินค้า

การส่งออกสินค้าไปต่างประเทศถือเป็นโอกาสครั้งสำคัญของผู้ประกอบการไทยที่ต้องการขยายธุรกิจสู่ตลาดโลก แต่ในขณะเดียวกันก็มีขั้นตอนทางกฎหมายและกระบวนการโลจิสติกส์ที่ต้องปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด หากไม่เข้าใจหรือเตรียมตัวไม่ดี อาจทำให้เกิดความล่าช้า ค่าใช้จ่ายเกินความคาดหมาย หรือสินค้าถูกปฏิเสธที่ปลายทางได้ บทความนี้จะอธิบาย 5 ขั้นตอนหลักของการส่งออกสินค้า พร้อมคำแนะนำที่นำไปใช้ได้จริง

ขั้นตอนที่ 1 เตรียมสินค้าและบรรจุภัณฑ์ให้ได้มาตรฐาน

การส่งออกเริ่มจากการตรวจสอบว่าสินค้าได้มาตรฐานการผลิตและการบรรจุหีบห่อที่ประเทศปลายทางกำหนด ตัวอย่างเช่น อาหารสดต้องมีบรรจุภัณฑ์ที่สามารถรักษาอุณหภูมิและป้องกันการปนเปื้อน ในขณะที่เครื่องจักรหรืออุปกรณ์ต้องมีการห่อหุ้มและกันกระแทกอย่างดี

ผู้ประกอบการควรตรวจสอบมาตรฐาน HS Code ของสินค้า และศึกษาข้อกำหนดพิเศษ เช่น ต้องมีเครื่องหมาย Made in Thailand, ต้องผ่านการตรวจคุณภาพจากหน่วยงานภายในประเทศ หรืออาจต้องใช้ Phytosanitary Certificate สำหรับสินค้าประเภทพืชและผลไม้

ขั้นตอนที่ 2 จัดเตรียมเอกสารส่งออก

เอกสารเป็นหัวใจสำคัญของการส่งออก และเป็นสิ่งที่ศุลกากรทั้งสองประเทศต้องตรวจสอบอย่างละเอียด เอกสารหลักที่ควรเตรียม ได้แก่

  • Commercial Invoice (ใบกำกับสินค้า)
  • Packing List (ใบรายการบรรจุ)
  • Bill of Lading หรือ Air Waybill (เอกสารการขนส่ง)
  • Export Declaration (ใบขนสินค้าขาออก)
  • ใบอนุญาตพิเศษ เช่น ใบอนุญาตจากกรมการค้าต่างประเทศ (DFT)

หากเอกสารไม่ครบหรือข้อมูลไม่ตรงกัน อาจทำให้ศุลกากรระงับการปล่อยสินค้าได้

ขั้นตอนที่ 3 ผ่านพิธีการศุลกากรไทย

การส่งออกจากประเทศไทยต้องผ่านขั้นตอนศุลกากร โดยปัจจุบันสามารถยื่นเอกสารผ่านระบบ e-Customs ได้ ทำให้กระบวนการรวดเร็วและมีความโปร่งใสมากขึ้น

ผู้ประกอบการควรตรวจสอบว่ามีเอกสารครบถ้วนก่อนยื่น หากเป็นสินค้าเกษตรหรืออาหารต้องแนบเอกสารประกอบ เช่น Health Certificate หรือใบรับรองมาตรฐาน GMP/HACCP การมี Freight Forwarder ที่มีประสบการณ์จะช่วยลดความซับซ้อนในขั้นตอนนี้ได้มาก

ขั้นตอนที่ 4 เลือกวิธีการขนส่งที่เหมาะสม

การเลือกวิธีขนส่งเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่มีผลต่อทั้งต้นทุนและเวลา โดยทั่วไปมีสองทางเลือกหลักคือ

  • ขนส่งทางเรือ (Sea Freight): เหมาะสำหรับสินค้าปริมาณมาก น้ำหนักมาก ต้นทุนต่อหน่วยต่ำ แม้จะใช้เวลานานกว่า
  • ขนส่งทางอากาศ (Air Freight): เหมาะสำหรับสินค้าที่มีมูลค่าสูง ต้องการความรวดเร็ว เช่น อิเล็กทรอนิกส์ อาหารสด

ผู้ประกอบการควรเปรียบเทียบระหว่าง LCL (Less than Container Load) กับ FCL (Full Container Load) เพื่อดูว่าปริมาณสินค้าของตนเหมาะกับรูปแบบใดที่สุด

ขั้นตอนที่ 5 เลือกพันธมิตร Freight Forwarder ที่เชื่อถือได้

แม้ว่าผู้ประกอบการสามารถดำเนินการส่งออกเองได้ แต่การมีพันธมิตรด้านโลจิสติกส์ที่เชี่ยวชาญจะช่วยให้การส่งออกเป็นไปอย่างราบรื่น Freight Forwarder ที่ดีควรมีคุณสมบัติ เช่น

  • มีประสบการณ์ในเส้นทางและประเภทสินค้าที่คุณต้องการส่งออก
  • ให้บริการครบวงจร ตั้งแต่การขนส่งในประเทศ พิธีการศุลกากร จนถึงการส่งถึงปลายทาง
  • มีระบบติดตามสถานะการขนส่งแบบเรียลไทม์
  • สามารถให้คำแนะนำเกี่ยวกับ Incoterms เช่น FOB, CIF, DDP

The World Freight พร้อมสนับสนุนผู้ประกอบการไทยทุกขั้นตอน ตั้งแต่การเตรียมเอกสาร ไปจนถึงการส่งสินค้าอย่างปลอดภัยถึงปลายทาง

คำแนะนำเพิ่มเติมสำหรับผู้ประกอบการใหม่

  • ศึกษากฎระเบียบของประเทศปลายทางอย่างละเอียด เพราะแต่ละประเทศอาจมีข้อกำหนดเฉพาะ เช่น สินค้าต้องผ่านการตรวจสอบคุณภาพ หรือมีข้อห้ามนำเข้าสินค้าบางประเภท
  • วางแผนเรื่องค่าใช้จ่ายให้รอบคอบ เช่น ค่าระวางเรือ ค่าธรรมเนียมท่าเรือ ภาษีนำเข้า และค่าใช้จ่ายแฝงอื่น ๆ
  • ใช้ระบบดิจิทัลในการติดตาม เช่น CRM หรือระบบแจ้งเตือน ETA เพื่อให้สามารถสื่อสารกับลูกค้าได้อย่างมืออาชีพ

สรุป

การส่งออกสินค้าไปต่างประเทศอาจดูซับซ้อน แต่หากเข้าใจขั้นตอนและเตรียมการอย่างเป็นระบบ ผู้ประกอบการจะสามารถลดความเสี่ยง ประหยัดต้นทุน และเพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับธุรกิจของตนเองได้ การเลือกพันธมิตร Freight Forwarder ที่มีความเชี่ยวชาญ เช่น The World Freight จะช่วยให้คุณมั่นใจว่าสินค้าจะถึงมือคู่ค้าอย่างปลอดภัยและตรงเวลา